แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ เพิ่มทักษะได้อย่างไร!! การฝึกฝนด้วยการทำ แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ คือหนึ่งในกิจกรรมสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างพื้นฐานทางภาษาที่มั่นคงและพัฒนาทักษะทางด้านภาษาของเราให้ดีขึ้น เพราะการทำแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ เป็นการช่วยฝึกฝนและทบทวนบทเรียน เพื่อเพิ่มความจำและการพัฒนาทักษะของเราทางด้านต่างๆ ทั้งทางด้าน การสะกดคำ การอ่าน และการเขียน โดยทักษะเหล่านี้ จะทำให้เรามีความเข้าใจในภาษาที่เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ดังนี้ค่ะ!! 1) ทักษะการสะกดคำ (Spelling Skills) คือ ส่วนสำคัญของหลักการเขียนเพื่อการเรียบเรียงลำดับตัวอักษรที่ถูกต้อง Spelling skills เริ่มต้นจากการเรียน Phonics และตามมาด้วยการ Blends (คือการผสมเสียงของ Phonics) การฝึกฝนในการสระกดคำและการออกเสียงตามหลักการที่ถูกต้อง จะช่วยให้นำภาษามาใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่ว 2) ทักษะการอ่าน (Reading Skills) คือ เกิดการรับรู้จากประโยค และคำศัพท์ต่างๆ ที่ทำให้เกิดการสังเกตและทำความเข้าใจในความหมายของภาษา ซึ่งเป็นการพัฒนาสมองและสร้างความรู้ให้เพิ่มมากขึ้น …
อย่างที่เรารู้กันดีว่า ภาษาอังกฤษ คือ ภาษาสากล ที่ใช้สื่อสารทั่วโลกและอยู่ใกล้ตัวเรามาก ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน ภาษาอังกฤษก็จะมีให้เห็นในทุกๆที จึงทำให้การเรียนภาษาอังกฤษมีความสำคัญเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งหากเรามีความเข้าใจในภาษาและสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ภาษาอังกฤษจะเป็นสิ่งที่ช่วยเปิดโอกาสและโลกของเราให้กว้างขึ้น ทั้งการสมัครงาน การเรียน การติดต่อสื่อสาร และการท่องเที่ยว ซึ่งแน่นอนว่าโลกที่กว้างขึ้นนั้น ย่อมนำมาซึ่งโอกาสที่ดีมากขึ้นเช่นเดียวกัน!! ในบทความนี้เราจะมาบอกกันว่า “ข้อดีของ การเรียนภาษาอังกฤษ” นั่นดีอย่างไร 1) ภาษาอังกฤษจะช่วยเพิ่มความมั่นใจ การที่เรามีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว จะช่วยให้เรามีความกล้าในการสื่อสารและกล้าแสดงออก รวมถึงรับรู้ข้อมูลได้มากขึ้น เพราะเมื่อเราเข้าใจในความหมายของภาษาอังกฤษแล้ว เราจะไม่มีความกังวลหรือความกลัว ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่ทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นค่ะ 2) พัฒนาสมอง เพราะการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ทำให้สมองของเรามีการจดจำและแปลความหมาย ด้วยการฝึกฝนเรียนรู้ จากการพูด …
รู้หรือไม่!! ความสม่ำเสมอคือพื้นฐานของการใช้ภาษาอังกฤษเลยนะ หลายๆคนคงมีปัญหา เรียนภาษาอังกฤษมานานทำไมไม่เก่งสักที อยากเก่งภาษาอังกฤษ อยากสื่อสารให้คล่อง สำเนียงเป๊ะ เหมือนเจ้าของภาษา ต้องทำยังไง “รู้ไหมว่า” ปัญหาเหล่านี้เกิดจาก ความไม่สม่ำเสมอของการใช้ภาษา ซึ่งส่งผลทำให้การพูดของเราไม่มีความเป็นธรรมชาติและเกิดการติดขัดเมื่อต้องสื่อสารกับผู้อื่น เพราะภาษาคือสิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อสื่อความหมาย อาจจะด้วยคำพูด การเขียน การอ่าน หรือการรับรู้ด้วยการฟัง หากเราไม่ได้หมั่นฝึกฝนบ่อยๆ เสมือนเป็นภาษาของเราเอง ภาษาก็จะไม่ได้พัฒนาขึ้น อาจจะแย่ลงด้วยซ้ำ ดังนั้นความสม่ำเสมอคือพื้นฐานที่สำคัญต่อการเรียนภาษาของทุกช่วงวัย โดยเฉพาะเด็กๆ หากได้ฝึกฝนบ่อยๆจะช่วยพัฒนาทักษะได้ไวมากขึ้นค่ะ แล้ววันนี้เราจะมาบอก ทริคเล็กๆที่ทำให้ภาษาของเราพัฒนาได้อย่างสม่ำเสมอค่ะ ฝึกพูดให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน การฝึกใช้ภาษาอังกฤษบ่อยๆในชีวิตประจำวัน คือส่วนสำคัญที่ทำให้ภาษาของเรามีการพัฒนาได้มากขึ้น โดยเราสามารถพูดคุยกับเพื่อน หรือคนในครอบครัว ด้วยภาษาอังกฤษได้ …
มีงานวิจัยที่ได้กล่าวถึงประโยชน์มากมายของความสามารถในการใช้สองภาษา เพราะด้วยความสามารถนี้จะช่วยให้เราเข้าใจในโครงสร้างทางภาษาต่างๆ และเข้าถึงมุมมองของวัฒนธรรมอื่นๆได้เป็นอย่างดี โดยความสามารถในการใช้สองภาษาอย่างคล่องแคล่วจะเป็นการช่วยเปิดโอกาสในการหางานได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น อีกทั้งงานวิจัยยังกล่าวถึงอีกว่าความสามารถในด้านนี้จะช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้อีกด้วยค่ะ ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่ได้มีการเริ่ม เรียนภาษาเพิ่มเติมจนกระทั้งระดับชั้นมัธยมหรือบ้างคนไม่ได้เรียนเสริมจนกระทั้งระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการเริ่มเรียนที่ล่าช้าทำให้การเรียนรู้ภาษาและการใช้ภาษาในการสนทนาไม่สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วเสมือนเจ้าของภาษา เวลาที่เหมาะสมและดีที่สุดในการ เรียนภาษา เพิ่มเติมเพื่อได้ผลรับอย่างเต็มที่นั้นคือ เมื่อตอนเรายังเป็นเด็ก เพื่อลดอุปสรรคต่อการเรียนภาษาค่ะ นี่หมายความว่าเด็กโตแล้วระดับมัธยมหรือมหาลัยไม่สามารถเรียนภาษาได้เหรอ? คำตอบคือ ไม่ค่ะ แต่หากเราตัดสินใจแนะนำภาษาต่างชาติให้กับเด็กๆได้ไวขึ้นเท่าไหร่ เด็กๆยิ่งจะได้รับผลไวและมีผลดีกับการกล้าแสดงออกในการใช้ภาษาของเด็กๆมากขึ้นเท่านั้นค่ะ นี่คือ 6 เหตุผลสำคัญที่ทำไมเด็กๆควรเรียนรู้ภาษาเพิ่มเติมให้เร็วที่สุด 1) สำเนียงการออกเสียง หลายๆงานวิจัยได้รับการยอมรับกันว่า หากเด็กๆได้ เรียนภาษา ต่างชาติตั้งแต่ยังเล็ก จะมีโอกาสที่จะทำให้สำเนียงการออกเสียงภาษานั้นทำได้เสมือนเจ้าของภาษาเลย และจะไม่ติดสำเนียงของภาษาหลักที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ทีมงานวิจัยของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ได้ทำการค้นคว้าข้อมูลที่มุ่งเน้นไปทางด้านการรับรู้และความเข้าใจภาษาที่สื่อสารในวัยเด็กด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อเราเรียนรู้ภาษาตอนอายุมากขึ้น …
พ่อแม่ทุกคนล้วนต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกๆ หากลูกๆเรียนภาษาที่โรงเรียน พ่อแม่ล้วนหวังอยากให้ ความสามารถของเด็กๆ มีการพัฒนาและสามารถสื่อสารภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว แล้วคุณรู้หรือไม่ว่า โอกาสของความสามารถในการเรียนภาษาที่สองได้อย่างรวดเร็วควรเริ่มเรียนตั้งแต่อายุเท่าไหร่ คำตอบคือ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการเรียนภาษาต่างชาติคือช่วงวัยเด็ก เพราะเด็กๆจะสามารถเรียนรู้ได้อย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ปี ” เมื่อไหร่ที่ควรเริ่มพูดภาษาต่างชาติกับลูกๆ “ การสื่อสารด้วยภาษาต่างชาติ ไม่ได้กำหนดอายุที่น้อยที่สุด เด็กๆส่วนใหญ่เริ่มเรียนรู้ภาษาจากพ่อและแม่ได้ หลังจากวันที่พวกเขาเกิดและสามารถสนทนาได้เมื่อเริ่มเข้าโรงเรียน ทันทีที่เด็กๆเกิดมาพวกเขาสามารถเรียนรู้คำซ้ำจากพ่อและแม่ได้ ซึ่งพ่อแม่เองสามารถสื่อสารกับลูกๆเป็นภาษาต่างชาติเพื่อให้ลูกๆเรียนรู้ภาษาตั้งแต่แรกเริ่มของการสื่อสาร ช่วงสองถึงสามเดือนแรก เด็กๆสามารถเรียนรู้ด้วยภาษาเดียว โดยการเรียนรู้ภาษาของเด็กทารกเป็นกระบวนการที่น่าสนใจ เพราะในช่วงแรกเด็กทารกจะเรียนรู้คำศัพท์จากที่พ่อแม่สอน ด้วยการพิจารณาจากคำศัพท์ที่พูดโดยไม่ได้จำแนกภาษา ซึ่งเด็กทารกจะไม่รู้ว่ากำลังเรียนภาษาอื่นอยู่ แต่จะมีการรับรู้และเลียนแบบจากพ่อแม่ได้ทั้งสองภาษา ตัวอย่างเช่น แม่สนทนาด้วยภาษาไทย ในขณะที่พ่อสอนภาษาอังกฤษ เด็กๆจะสามารถเรียนรู้ทั้งสองภาษาได้อย่างรวดเร็วและวิเคราะห์ถึงการสื่อสารทั้งสองวิธีในเวลาเดียวกัน นั่นคือความสามารถของเด็กๆในการปรับตัวได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งเป็นเหตุผลที่เรามักจะพูดว่าเสมอว่า สมองของเด็กๆเปรียบเสมือนฟองน้ำ ที่ซึมซับสิ่งต่างๆได้ง่ายและรวดเร็ว โดย ความสามารถของเด็กๆ ต่อการรับรู้และรับฟังในสภาพแวดล้อมที่คุ้นชินกับการใช้สองภาษาจะเป็นส่วนนำมาซึ่งประโยชน์มากมายเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น …